tag:blogger.com,1999:blog-63768508879495322062024-03-19T01:21:34.242-07:00ความรู้ทางเคมีอานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.comBlogger20125tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-80779590272904422162011-08-31T11:04:00.000-07:002011-08-31T11:04:12.940-07:00บีกเกอร์<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEig9Y1Av_eacv4wt4ODG0RAZXz70mdvFvUae9ZkWAoCv99Zau2afFUX1gUi27o6rtByg-5Tx2ABlfgcVgEKcvWXOg79pGacoSZk7jeBwTffwjrO5mm4NntCDw9OeMrHKsuYwDzPQn3WDUus/s1600/eq7_clip_image001.jpg" imageanchor="1" style=""><img border="0" height="151" width="207" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEig9Y1Av_eacv4wt4ODG0RAZXz70mdvFvUae9ZkWAoCv99Zau2afFUX1gUi27o6rtByg-5Tx2ABlfgcVgEKcvWXOg79pGacoSZk7jeBwTffwjrO5mm4NntCDw9OeMrHKsuYwDzPQn3WDUus/s320/eq7_clip_image001.jpg" /></a></div><br />
บีกเกอร์มีหลายขนาดและมีความจุต่างกัน โดยที่ข้างบีกเกอร์จะมีตัวเลขระบุความจุของบีกเกอร์ ทำให้ผู้ใช้สามารถทราบปริมาตรของของเหลวที่บรรจุอยู่ได้อย่างคร่าวๆ และบีกเกอร์มีความจุตั้งแต่ 5 มิลลิเมตรจนถึงหลายๆลิตร อีกทั้งเป็นแบบสูง แบบเตี้ย และแบบรูปทรงกรวย (conical beaker) บีกเกอร์จะมีปากงอเหมือนปากนกซึ่งเรียกว่า spout ทำให้การเทของเหลวออกได้โดยสะดวก spout ทำให้สะดวกในการวางไม้แก้วซึ่งยื่นออกมาจากฝาที่ปิดบีกเกอร์ และ spout ยังเป็นทางออกของไอน้ำหรือแก๊สเมื่อทำการระเหยของเหลวในบีกเกอร์ที่ปิดด้วยกระจกนาฬิกา (watch grass) การเลือกขนาดของบีกเกอร์เพื่อใส่ของเหลวนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณของเหลวที่จะใส่ โดยปกติให้ระดับของเหลวอยู่ต่ำกว่าปากบีกเกอร์ประมาณ 1 - 1 1/2 นิ้ว<br />
<br />
ประโยชน์ของบีกเกอร์<br />
1. ใช้สำหรับต้มสารละลายที่มีปริมาณมากๆ<br />
2. ใช้สำหรับเตรียมสารละลายต่างๆ<br />
3. ใช้สำหรับตกตะกอนและใช้ระเหยของเหลวที่มีฤทธิ์กรดน้อย อานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-81113207934317041572011-08-31T11:01:00.001-07:002011-08-31T11:01:59.650-07:00กระบอกตวง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEge0Yzif_kZAcKb51IU6T67U7lRs_V2LJtpVZwkBlKYJcd3SQrM2JGek28wSXzX8C5qsD8UI8BNbWEZ3PbEq_H-ShaUL-MSomEKOoBUMEembKhXifU6GvqYCRIMCxjEpyasIVxnS-PWQchyphenhyphen/s1600/eq1_clip_image001.jpg" imageanchor="1" style=""><img border="0" height="179" width="209" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEge0Yzif_kZAcKb51IU6T67U7lRs_V2LJtpVZwkBlKYJcd3SQrM2JGek28wSXzX8C5qsD8UI8BNbWEZ3PbEq_H-ShaUL-MSomEKOoBUMEembKhXifU6GvqYCRIMCxjEpyasIVxnS-PWQchyphenhyphen/s320/eq1_clip_image001.jpg" /></a></div><br />
กระบอกตวงมีขนาดต่างๆ กัน ตั้งแต่ 5 มิลลิลิตรจนถึงหลายๆ ลิตร ใช้เป็นอุปกรณ์สำหรับวัดปริมาตรของของเหลวที่มีอุณภูมิไม่สูงกว่าอุณภูมิของห้องปฏิบัติการ กระบอกตวงไม่สามารถใช้วัดของเหลวที่มีอุณภูมิสูงได้เนื่องจากอาจจะทำให้กระบอกตวงแตกได้ กระบอกตวงจะบอกปริมาตรของของเหลวอย่างคร่าว ๆ ถ้าต้องการวัดปริมาตรที่แน่นอนต้องใช้อุปกรณ์วัดปริมาตรอื่นๆ เช่น ไพเพทหรือบิวเรท โดยปกติความผิดพลาดของกระบอกตวงเมื่อมีปริมาตรสูงสุดจะมีประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ กระบอกตวงขนาดเล็กใช้วัดปริมาตรได้ใกล้เคียงความจริงมากกว่ากระบอกตวงขนาดเล็ก<br />
<br />
วิธีอ่านปริมาตรของของเหลวในกระบอกตวงนั้นสามารถทำได้โดยการยกกระบอกตวงให้ตั้งตรงและให้ท้องน้ำอยู่ในระดับสายตา และอ่านค่าปริมาตร ณ จุดต่ำสุดของท้องน้ำ<br />
<br />
อานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-67127497887590109822011-08-31T11:00:00.001-07:002011-08-31T11:00:35.405-07:00การระเหยแห้งการระเหยแห้ง<br />
การแยกสารด้วยวิธีนี้เหมาะสำหรับใช้แยกสารผสมที่เป็นของเหลวและมีของแข็งละลายในของเหลวนี้ จนทำให้สารผสมมีลักษณะเป็นของเหลวใส ซึ่งเราเรียกสารผสมนี้ว่า สารละลาย เช่น น้ำทะเล น้ำเชื่อมน้ำเกลือ เป็นต้น การแยกสารโดยวิธีการระเหยแห้งนิยมใช้ในการแยกเกลือออกจากน้ำทะเล มีการนำเกลือเพื่อแยกน้ำทะเลให้ได้เกลือสมุทรโดยวิธีการระเหยแห้ง ชาวนาเกลือเตรีมแปงนาแล้วใช้กังหันฉุดน้ำทะเลเข้าสู้แปลงนาเกลือหลังจากนั้นปล่อยให้น้ำทะเลได้รับแสงแดดเป็นเวลานานจนกระทั่งน้ำระเหยจนแห้ง จะเหลือเกลืออยู่ในนา เกลือที่ได้นี้เรียกว่า เกลือสมุทรซึ่งเป็นเกลือที่นำมาปรุงอาหาร ทำเครื่องดื่ม<br />
การเปลี่ยนอุณหภูมิและความดัน <br />
วิธีนี้ใช้สำหรับแยกของผสมที่องค์ประกอบทั้งหมดเป็นก๊าซแต่ละชนิดมีจุดเดือดไม่เท่ากัน<br />
การใช้ความร้อน <br />
วิธีนี้แยกของผสมชนิดก๊าซละลายในของเหลว <br />
การเปลี่ยนอุณหภูมิและความดัน <br />
วิธีนี้ใช้สำหรับแยกของผสมที่องค์ประกอบทั้งหมดเป็นก๊าซแต่ละชนิดมีจุดเดือดไม่เท่ากัน อานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-51869064567570688352011-08-31T10:59:00.003-07:002011-08-31T10:59:48.336-07:00การตกตะกอนการตกตะกอน ใช้แยกของผสมเนื้อผสมที่เป็นของแข็งแขวนลอยอยู่ในของเหลว ทำได้โดยนำของผสมนั้นวางทิ้งไว้ให้สารแขวนลอยค่อย ๆ ตกตะกอนนอนก้น ในกรณีที่ตะกอนเบามากถ้าต้องการให้ตกตะกอนเร็วขึ้นอาจทำได้โดย ใช้สารตัวกลางให้อนุภาคของตะกอนมาเกาะ เมื่อมีมวลมากขึ้น น้ำหนักจะมากขึ้นจะตกตะกอนได้เร็วขึ้น เช่น ใช้สารส้มแกว่ง อนุภาคของสารส้มจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้โมเลกุลของสารที่ต้องการตกตะกอนมาเกาะ ตะกอนจะตกเร็วขึ้น อานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-22951028149346174262011-08-31T10:59:00.001-07:002011-08-31T10:59:11.662-07:00การใช้แม่เหล็กดูดการใช้แม่เหล็กดูด<br />
การใช้อำนาจแม่เหล็กป็นวิธีที่ใช้แยกองค์ประกอบของสารเนื้อผสมซึ่งองค์ประกอบหนึ่งมีสมบัติในการถูกแม่เหล็กดูดได้ เช่น ของผสมระหว่างผงเหล็กกับผงกำมะถัน โดยใช้แม่เหล็กถูไปมาบนแผ่นกระดาษที่วางทับของผสมทั้งสอง แม่เหล็กจะดูดผงเหล็กแยกออกมา อานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-5415426036989027562011-08-31T10:58:00.001-07:002011-08-31T10:58:26.064-07:00การตกผลึก (Crystallization) <br />
<br />
การตกผลึก (Crystallization)<br />
คือกระบวนการเกิดผลึกของแข็งจากสารละลาย(solution) จากของเหลว (melt) หรือไอ (vapor)โดยกระบวนการดังกล่าว อาจเกิดขึ้นเองในธรรมชาติหรือเกิดขึ้นจากการทดลองในห้องปฏิบัติการตัวอย่างการเกิดผลึกในธรรมชาติ เช่น ผลึกน้ำแข็ง(ice crystals) หิมะ (snow) เป็นต้น ผลึกของสารอินทรีย์เช่น อินซูลินและน้ำตาล ผลึกของธาตุเช่น แกลเลียม และซิลิกอน ซึ่งสามารถเกิดในธรรมชาติและถูกสังเคราะห์<br />
การตกผลึก เป็นวิธีทำสารให้บริสุทธิ์ หรือเป็นวิธีแยกสารออกจากกัน วิธีหนึ่ง<br />
การตกผลึก ทำโดยเลือกตัวทำละลายที่เหมาะสมไปสกัดสารที่ต้องการแล้วนำมาตกผลึก สารที่มี สภาพละลายได้ต่างกันมาก สามารถตกผลึกแยกออกจากกันได้<br />
การเลือกตัวทำละลายที่เหมาะสมต่อการตกผลึก มีหลักในการเลือกดังนี้<br />
1. ละลายสารที่ต้องการตกผลึกในขณะร้อนได้ดี และละลายได้น้อยหรือไม่ละลายเลยที่อุณหภูมิต่ำ<br />
(ขณะเย็น)<br />
2. ไม่ละลายสารปนเปื้อนขณะร้อนหรือละลายได้น้อยขณะร้อน แต่ละลายได้ดีขณะเย็น<br />
3. ควรมีจุดเดือดต่ำ เพื่อสามารถกำจัดออกจากผลึกได้ง่าย<br />
4. ไม่ทำปฏิกิริยากับสารที่ต้องการตกผลึก<br />
5. ควรทำให้สารที่ที่ต้องการทำให้บริสุทธิ์เกิดเป็นผลึกที่มีรูปร่างชัดเจน<br />
6. ไม่เป็นพิษ<br />
7. หาง่าย และราคาถูก อานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-30657677016094355992011-08-31T10:57:00.001-07:002011-08-31T10:57:26.297-07:00โครมาโทรกราฟีโครมาโทรกราฟี<br />
อาศัยสมบัติ2ประการคือ<br />
สารต่างชนิดกันมีความสามารถในการละลายในตัวทำละลายได้ต่างกัน<br />
สารต่างชนิดกันมีความสามารถในการถูกดูดซับด้วยตัวดูดซับได้ต่างกัน<br />
โครมาโทกราฟี (chromatography) เป็นการแยกสารผสมที่มีสี หรือสารที่สามารถทำให้เกิดสีได้ วิธีการนี้จะมีเฟส 2 เฟส คือ เฟสอยู่กับที่ (stationary phase) กับ เฟสเคลื่อนที่ (mobile phase) โดยที่สารในเฟสอยู่กับที่จะทำหน้าที่ดูดซับ (adsorb) สารผสมด้วยแรงไฟฟ้าสถิตย์ สารที่ใช้ทำเฟสอยู่กับที่จึงมีลักษณะเป็นผงละเอียดมีพื้นที่ผิวมากเช่นอลูมินา (alumina,Al2O3) ซิลิกาเจล(silica gel,SiO2) หรืออาจจะใช้วัสดุที่สามารถดูดซับได้ดี เช่น ชอล์ก กระดาษ ซึ่งสารที่ทำหน้าที่ดูดซับในเฟสอยู่กับที่ เช่น น้ำ ส่วนเฟสเคลื่อนที่จะทำหน้าที่ชะ (elute)เอาสารผสมออกจากเฟสอยู่กับที่ให้เคลื่อนที่ไปด้วย การจะเคลื่อนที่ได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแรงดึงดูดระหว่างสารในสารผสมกับตัวดูดซับในเฟสอยู่กับที่ ดังนั้นสารที่ใช้เป็นเฟสเคลื่อนที่จึงได้แก่ พวกตัวทำละลาย เช่น ปิโตรเลียมอีเทอร์ เฮกเซน คลอโรฟอร์ม เบนซีน ฯลฯ การทำโครมาโทกราฟีสามารถทำได้หลายวิธีจะแตกต่างกันที่เฟสอยู่กับที่ว่า อยู่ในลักษณะใด เช่น<br />
- โครมาโทกราฟีแบบคอลัมน์ (column chromatography) ทำได้โดยการบรรจุสารที่เป็นเฟสอยู่กับที่ เช่น อลูมินาหรือซิลิกาเจลไว้ในคอลัมน์ แล้วเทสารผสมที่เป็นสารละลายของเหลว<br />
ลงสู่คอลัมน์ สารผสมจะผ่านคอลัมน์ช้าๆ โดยตัวทำละลายซึ่งเป็นเฟสเคลื่อนที่เป็นผู้พาไป สารในเฟสอยู่กับที่จะดูดซับสารในสารผสมไว้ส่วนประกอบใดของสารผสมที่ถูกดูดซับได้ดีจะเคลื่อนที่ช้า<br />
ส่วนที่ถูกดูดซับไม่ดีจะเคลื่อนที่ได้เร็ว ทำให้สารผสมแยกจากกันได้<br />
- โครมาโทกราฟีแบบชั้นบาง (thin layer chromatography) เป็นโครมาโทกราฟีแบบระนาบ(plane chromatography) โดยทำเฟสอยู่กับที่ให้มีลักษณะเป็นครีมข้น แล้วเคลือบบนแผ่นกระจกให้ความหนาของการเคลือบเท่ากันตลอดแล้วนำไปอบให้แห้ง หยดสารละลายของสารผสมที่ต้องการแยกบนแผ่นที่เคลือบเฟสอยู่กับที่นี้ไว้ แล้วนำไปจุ่มในภาชนะที่บรรจุตัวทำละลายที่เป็นเฟสเคลื่อนที่ไว้ โดยให้ระดับของตัวทำละลายต้องอยู่ต่ำกว่าระดับของจุดที่หยดสารผสมไว้ ตัวทำละลายจะซึมไปตามเฟสอยู่กับที่ด้วยการซึมตามรูเล็กเหมือนกับน้ำที่ซึมไปในกระดาษหรือผ้า เมื่อซึมถึงจุดที่หยดสารผสมไว้ ตัวทำละลายจะชะเอาองค์ประกอบในสารผสมนั้นไปด้วยอัตราเร็วที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพมีขั้ว (polarity) ของสารที่เป็นองค์ประกอบกับสารที่เป็นตัวทำละลาย ถ้าตัวทำละลายเป็นโมเลกุลมีขั้ว (polar molecules) จะชะเอาสารในสารผสมที่เป็นสารมีขั้วไปด้วยได้เร็ว ส่วนสารที่ไม่มีขั้วในสารผสมจะถูกชะพาไปได้ช้า สารผสมก็จะแยกออกจากกัน<br />
- โครมาโทกราฟีแบบกระดาษ (paper chromatography) เป็นโครมาโทกราฟีแบบระนาบอีกแบบหนึ่ง มีวิธีการและหลักการเหมือนกับโครมาโทกราฟีแบบชั้นบาง แตกต่างกันที่เฟสอยู่กับที่ใช้กระดาษที่สามารถดูดซับได้แทนกระจกที่เคลือบด้วยซิลิกาเจล<br />
- โครมาโทกราฟีแบบแก๊ส (gas chromatography , GC) ใช้สำหรับแยกสารผสมที่เป็นแก๊ส โดยมีเฟสเคลื่อนที่เป็นแก๊สเช่นกันแต่ไม่ทำปฏิกิริยากับสารผสม เช่น ฮีเลียม จะทำหน้าที่เป็นตัวพา (carier) สารผสม ส่วนเฟสอยู่กับที่อาจจะเป็นของแข็งหรือของเหลวที่บรรจุอยู่ในคอลัมน์ เมื่อทั้งตัวพาและสารผสมเคลื่อนที่ผ่านคอลัมน์นี้ เฟสอยู่กับที่ในคอลัมน์จะดึงดูดด้วยแรงดึงดูดไฟฟ้าสถิตย์ตามความเป็นขั้วของสารกับโมเลกุลในสารผสมทำให้องค์ประกอบในสารผสมถูกพาไปด้วยอัตราเร็วที่ต่างกัน สารผสมก็จะแยกออกจากกัน <br />
ปัจจุบันเทคนิคของโครมาโทกราฟีได้ถูกพัฒนาให้สามารถทำงานได้รวดเร็ว และใช้แยกสารตัวอย่างได้ครั้งละหลายสารตัวอย่าง เช่น Gas - Liquid Chromatography (GLC), High Performance Liquid Chromatography (HPLC) เป็นต้น<br />
หลักการของโครมาโทกราฟี<br />
โครมาโทกราฟี อาศัยหลักการละลายของสารในตัวทำละลาย และการถูกดูดซับโดยตัวดูดซับ โดยสารที่ต้องการนำมาแยกโดยวิธีนี้จะมีสมบัติการละลายในตัวทำละลายได้ไม่เท่ากัน และตัวถูกดูดซับโดยตัวดูดวับได้ไม่เท่ากัน ทำให้สารเคลื่อนที่ได้ไม่เท่ากัน<br />
วิธีการทำโครมาโทกราฟี<br />
นำสารที่ต้องการแยกมาละลายในตัวทำละลายที่เหมาะสมแล้วให้เคลื่อนที่ไปบนตัวดูดซับ การเคลื่อนที่ของสารบนตัวดูดซับขึ้นอยู่กับความสามารถในการละลายของสารแต่ละชนิดในตัวทำละลาย และความสามารถในการดูดซับที่มีต่อสารนั้น กล่าวคือ สารที่ละลายในตัวทำละลายได้ดี และถูกดูดซับน้อยจะถูกเคลื่อนที่ออกมาก่อน ส่วนสารที่ละลายได้น้อยและถูกดูดซับได้ดี จะเคลื่อนที่ออกมาทีหลัง ถ้าใช้ตัวดูดซับมาก ๆ จะสามารถแยกสารออกจากกันได้<br />
การเลือกตัวทำละลายและตัวดูดซับ<br />
1. ตัวทำละลายและสารที่ต้องการแยกจะต้องมีการละลายไม่เท่ากัน<br />
2. ควรเลือกตัวดูดซับที่มีการดูดซับสารได้ไม่เท่ากัน<br />
3. ถ้าต้องการแยกสารที่ผสมกันหลายชนิด อาจต้องใช้ตัวทำละลายหลายชนิดหรือใช้ตัวทำละลายผสม<br />
4. ตัวทำละลายที่นิยมใช้ ได้แก่ เฮกเซน ไซโคลเฮกเซน เบนซีน อะซีโตน คลอไรฟอร์ม เอธานอล<br />
5. ตัวดูดซับที่นิยมใช้ ได้แก่ อะลูมินาเจค (Al2O3) ซิลิกาเจล (SiO2)<br />
ค่า Rf <br />
โครมาโทกราฟีแบบกระดาษสามารถนำมาคำนวณหาค่า Rf ได้<br />
ค่า Rf (Rate of flow) เป็นค่าเฉพาะตัวของสาร ขึ้นอยู่กับชนิดของตัวทำละลายและตัวดูดซับ ดังนั้นการบอกค่า Rf ของสารแต่ละชนิดจึงต้องบอกชนิดของตัวทำละลาย และตัวดูดซับเสมอค่า Rf สามารถคำนวณได้จากสูตร<br />
<br />
Rf = ระยะทางที่สารเคมีคลื่อนที่ (cm) <br />
ระยะทางที่ตัวทำละลายเคลื่อนที่ (cm)<br />
สารต่างชนิดกันจะมีค่า Rf แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเราจึงสามารถใช้ค่า Rf มาใช้ในการวิเคราะห์ชนิดของสารได้ กล่าวคือ ถ้าสารใดมีความสามารถในการละลายสูงจะมีค่า Rf มาก เนื่องจากตัวทำละลายจะเคลื่อนที่เร็วกว่าสารที่จะแยก ค่า Rf < 1 เสมอ<br />
ถ้าใช้ตัวทำละลายและตัวดูดซับชนิดเดียวกันปรากฏว่ามีค่า Rf เท่ากัน อาจสันนิษฐานได้ว่า สารดังกล่าวเป็นสารชนิดเดียวกัน หรือนำสารตัวอย่างมาทำโครมาโทกราฟีคู่กับสารจริงก็ได้<br />
<br />
ข้อดีของโครมาโทกราฟี<br />
1. สามารถแยกสารที่มีปริมาณน้อยได้<br />
2. สามารถแยกได้ทั้งสารที่มีสี และไม่มีสี<br />
3. สามารถใช้ได้ทั้งปริมาณวิเคราะห์ (บอกได้ว่าสารที่แยกออกมา มีปริมาณเท่าใด)<br />
และคุณภาพวิเคราะห์ (บอกได้ว่าสารนั้นเป็นสารชนิดใด)<br />
4. สามารถแยกสารผสมออกจากกันได้<br />
5. สามารถแยกสารออกจากกระดาษกรองหรือตัวดูดซับโดยสกัดด้วยตัวทำละลายอานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-17428391244574751482011-08-31T10:56:00.000-07:002011-08-31T10:56:38.561-07:00การใช้กรวยแยกการใช้กรวยแยก<br />
ใช้แยกสารเนื้อผสม ที่เป็นของเหลวผสมอยู่กับของเหลวแต่ไม่รวมเป็นเนื้อเดียวกัน โดยของเหลวที่มี ความหนาแน่นน้อยกว่าจะอยู่ข้างบน ของเหลวที่มีความหนาแน่นมากกว่า จะอยู่ข้างล่าง ตัวอย่าง การแยกน้ำมันที่ผสมปนอยู่กับน้ำ ทำได้โดยนำของผสมมาใส่ลงในกรวยแยก น้ำมันมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำจะลอยอยู่เหนือน้ำ จากนั้นค่อย ๆเปิดก๊อกของกรวยแยกไข แยกน้ำออกมาก่อน และแยกน้ำมันออกมาทีหลัง <br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi1kukOjPKBbBRmRaqPoEqWGROrSOxt0ibrNKBdVDZinBq9sjUcBYqo29MtJV7DrnZcy5G8eWYbhjvBY1EkJ4vVlYvHVZ-XTwAU4HYvp4EgkDHn47QSJSwrpCCiCnUkxJdWIG6S2JmEhUAv/s1600/sub05_clip_image002.jpg" imageanchor="1" style=""><img border="0" height="252" width="314" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi1kukOjPKBbBRmRaqPoEqWGROrSOxt0ibrNKBdVDZinBq9sjUcBYqo29MtJV7DrnZcy5G8eWYbhjvBY1EkJ4vVlYvHVZ-XTwAU4HYvp4EgkDHn47QSJSwrpCCiCnUkxJdWIG6S2JmEhUAv/s320/sub05_clip_image002.jpg" /></a></div><br />
อานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-5308000116095362992011-08-31T10:54:00.001-07:002011-08-31T10:54:39.323-07:00การสกัดด้วยตัวทำละลายการสกัดด้วยตัวทำละลาย<br />
การสกัดด้วยตัวทำละลาย เป็นวิธีทำสารให้บริสุทธิ์ หรือเป็นวิธีแยกสารออกจากกันวิธีหนึ่งการสกัดด้วยตัวทำละลาย อาศัยสมบัติของการละลายของสารแต่ละชนิดสารที่ต้องการสกัดต้องละลายอยู่ในตัวทำละลายซอลซ์เลต เป็นเครื่องมือที่ใช้ตัวทำละลายปริมาณน้อย การสกัดจะเป็นลักษณะการใช้ตัวทำละลายหมุนเวียนผ่านสารที่ต้องการสกัดหลาย ๆ ครั้ง ต่อเนื่องกันไปจนกระทั่งสกัดสาร ออกมาได้เพียงพอ<br />
หลักการสกัดสาร <br />
เติมตัวทำละลายที่เหมาะสมลงในการที่เราต้องการสกัดจากนั้นก็เขย่าแรงๆหรือนำไปต้ม เพื่อให้สารที่เราต้องการจะสกัดละลายในตัวทำละลายที่เราเลือกไว้ สารที่เราสกัดได้นั้นยังเป็นสารละลายอยู่ ถ้าเราต้องการทำให้บริสุทธิ์เราควรจะนำสารที่ได้ไปแยกตัวทำละลายออกมาก่อน อาจจะนำไประเหย หรือนำไปกลั่นต่อไป ตัวอย่างเช่น การสกัดน้ำขิงจากขิง การสกัดคลอโรฟีลล์ของใบไม้อานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-25136518461039949432011-08-31T10:53:00.001-07:002011-08-31T10:53:58.775-07:00การกรองการกรอง<br />
คือการทำให้ของแข็งและของเหลวแยกออกจากกันโดยใช้วัสดุต่างๆนอกเหนือจากกระดาษกรองก็ได้ เช่น ผ้าขาวบางหรือผ้าชนิดต่างๆ เป็นต้นส่วนวิธีกรองนั้นก็นำที่มีสิ่งอื่นๆเจือปนมาเทลงที่กระดาษกรองที่พับเป็นรูปกรวยและใส่กรวยแก้วไว้แล้วถ้าของแข็งที่เจือปนอยู่ในของเหลวนั้นมีขนาดใหญ่กว่า10ยกกำลังลบ4ของแข็งนั้นก็ไม่สามารถผ่านกระดาษกรองไปได้แต่ถ้าเล็กกว่าก็จะสามารถผ่านได้ สำหรับกรณีที่ของแข็งเล็กกว่า10ยกกำลังลบ4นั้นเราก็สามารถใช้กระดาษเซลโลเฟนที่มีขนาด10ยกกำลังลบ7ก็ได้ อานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-87614216989547764952011-08-31T10:51:00.001-07:002011-08-31T10:51:31.474-07:00บางจากแก๊สโซฮอล์ E201.น้ำมันบางจากแก๊สโซฮอล์ E20 คืออะไร<br />
คือน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ที่มีส่วนผสมระหว่างน้ำมันเบนซิน 80% และเอทานอล ความบริสุทธิ์ร้อยละ 99.5ที่ 20% โดยรถที่สามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ได้ยังสามารถใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ได้อีกด้วย<br />
<br />
<br />
2.นโยบาย E20 ของกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานได้ประมาณการการส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล์ E20 ออกเทน 95 ดังนี้<br />
รายการ 2551 2552 2553 2554<br />
ปริมาณจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ E20 (ล้านลิตรต่อวัน) 0.25 0.58 0.90 1.23<br />
สัดส่วนการจำหน่าย E20 เทียบกับเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทั้งหมด (%) 1.2 2.6 4.0 5.3<br />
ข้อมูลจาก : กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษณ์พลังงาน<br />
<br />
<br />
3. สถานการณ์ E20 สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย แจ้งว่าในเบื้องต้นจะมีรถยนต์แก๊สโซฮอล์ E20 จำหน่ายในปี 51 ประมาณ 60,000 คัน และอาจมียอดจำหน่ายเบื้องต้นหากมีบริษัทรถยนต์แจ้งเพิ่มเติม ปัจจุบันมีรถยนต์ E20 จำหน่าย 5 ยี่ห้อ<br />
- Ford: Focus ทุกรุ่นตั้งแต่ปี 2005<br />
- Escape 3.0 L ตั้งแต่ปี 2005<br />
- Honda: Accord, CR-V, Civic, City, รุ่นปี 2008<br />
- Mazda: Mazda 3 Groove, Spirit, Spirit Sport, Maxx, Maxx Sport Sunroof<br />
- Mitsubishi: New Space Wagon minor change<br />
- Nissan: Tiida, Teana รุ่นปี 2008 <br />
(ข้อมูลจากบริษัทรถยนต์ ณ วันที่ 20 ธันวาคม 2550)<br />
<br />
<br />
4. สถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ปัจจุบันมีสถานีบริการจำหน่ายน้ำมัยแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ทั้งสิ้น 18แห่ง <br />
โดยเป็นของ บ.บางจากฯ 5 แห่ง และของ บ.ปตท อีก 12 แห่ง<br />
<br />
สถานีบริการน้ำมัน บางจาก ที่จำหน่าย "บางจาก E20" 5 สถานี ได้แก่<br />
- สาขาสุขาภิบาล 1<br />
- สาขาเกษตร<br />
- สาขาคู่ขนานรามอินทรา-อาจณรงค์ 2<br />
- สาขาเอกมัย<br />
- สาขาพระราม 3<br />
<br />
สถานีบริการน้ำมัน ปตท. ที่จำหน่าย “พีทีที E20 พลัส” 12 สถานี ได้แก่<br />
- สน.ปตท. สาขาทางด่วนบางนา ขาออก (สุขุมวิท 62)<br />
- สน.ปตท. สาขาบางบอน<br />
- สน.ปตท. สาขากรมช่างอากาศ<br />
- สน.ปตท. สาขาองค์การแบตเตอรี่<br />
- สน.ปตท. บจก. ปิโตรเลียมน้ำมัน (รามอินทรา)<br />
- สน.ปตท.หจก.สุวัจชัยออยล์ (ประชาชื่น)<br />
- สน.ปตท. หจก.ศรีเจริญภัณฑ์ (วิภาวดี)<br />
- สน.ปตท. บจก.เกษตรนวมินทร์ปิโตรเลียม<br />
- สน.ปตท. บจก. ที.3 เจ. (ราชพฤกษ์)<br />
- สน.ปตท. สาขาการท่าอากาศยาน 2 (ดอนเมือง)<br />
- สน.ปตท. สาขาสำนักงานใหญ่<br />
- สน.ปตท. บจก.นาคสวัสดิ์<br />
<br />
<br />
5. อัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ E20<br />
กระทรวงการคลังได้ออกประกาศ เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 80) เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2550 (เอกสารแนบ 2) และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 โดยลดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ที่สามารถใช้เชื้อเพลิงประเภทเอทานอลไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 เป็นส่วนผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้<br />
<br />
- รถยนต์ที่มความจุกระบอกสูบไม่เกิน 2,000 ลบ.ซม. และมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า จากอัตราภาษีที่จัดเก็บในปัจจุบันร้อยละ 30 (ซึ่งมีเพดานภาษีร้อยละ 50) ลดลงเหลือร้อยละ 25<br />
<br />
- รถยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบเกิน 2,000 ลบ.ซม. แต่ไม่เกิน 2,500 ลบ.ซม. และมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า จากอัตราภาษีที่จัดเก็บในปัจจุบันร้อยละ 35 (ซึ่งมีเพดานภาษีร้อยละ 50) ลดลงเหลือร้อยละ 30<br />
<br />
- รถยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบเกิน 2,500 ลบ.ซม. แต่ไม่เกิน 3,000 ลบ.ซม. และมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า จากอัตราภาษีที่จัดเก็บในปัจจุบันร้อยละ 40 (ซึ่งมีเพดานภาษีร้อยละ 50) ลดลงเหลือร้อยละ 35<br />
<br />
- รถยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบเกิน 3,000 ลบ.ซม. หรือมีกำลังเครื่องยนต์เกิน 220 แรงม้า จัดเก็บคงเดิมในอัตราภาษีที่จัดเก็บในปัจจุบันร้อยละ 50<br />
<br />
รถยนต์ E20 ที่จะใช้อัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่นี้ จะต้องมีคุณลักษณะครบถ้วนทุกข้อดังนี้<br />
1. มีการออกแบบที่ผลิตให้เป็นรถยนต์ประเภทใช้เชื้อเพลิงประเภทเอทานอลไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 เป็นส่วนผสมกันน้ำมันเชื้อเพลิงได้ โดยโรงอุตสาหกรรมที่ผลิตรถยนต์รุ่นนั้นๆ โดยตรง<br />
2. มีการรับประกันจากผู้ผลิตว่าสามารถใช้เชื้อเพลิงประเภทเอทานอลไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 เป็นส่วนผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงได้และ<br />
3. ต้องได้รับการรับรองมาตรฐานมลพิษจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ไม่ต่ำกว่าระดับ มอก. 2160-2546<br />
<br />
<br />
6. มาตรฐานน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20<br />
คุณภาพของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงานเรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ พ.ศ. ๒๕๕๐ เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2551 (แนบมาตรฐานแก๊สโซฮอล์) พบว่าคุณภาพของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 นั้นเทียบจะไม่ได้แตกต่างจากน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 มีค่าเพียง 3 ค่าที่แตกต่างคือ<br />
1. อุณหภูมิการกลั่น<br />
2. ความดันไอ<br />
3. ปริมาณผสมเอทานอล<br />
<br />
<br />
7. รถทุกคันสามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ได้หรือไม่<br />
ไม่ได้ รถยนต์ที่จะสามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ได้ต้องเป็นรถยนต์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ เพื่อรองรับสัดส่วนผสมของเอทานอลที่สูงกว่าร้อยละ 10 ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณเอทานอลที่สูงขึ้นเป็นร้อยละ 20 ในแก๊สโซฮอล์ E20 นั้น จะส่องผลถึงความสามารถในการกัดกร่อนยาง และโลหะในระบบเก็บส่งน้ำมันในเครื่องยนต์ การใช้งานจึงต้องเป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะ<br />
<br />
<br />
8. ประโยชน์ของการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ต่อผู้บริโภค<br />
1. ผู้บริโภคได้ใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ในราคาถูกลงกว่าลิตรละ 6 บาท<br />
2. ราคารถยนต์ที่ใช้ E20 ถูกลงจากการลดภาษีสรรพสามิตประมาณคันละ 5 หมื่น -1 แสนบาท<br />
<br />
<br />
9. ข้อดีของการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์<br />
1. การเผาไหม้ของ E20 สมบูรณ์กว่าน้ำมันเบนซินปกติ จึงช่วยเพิ่มกำลังและแรงบิดของเครื่องยนต์<br />
2. การใช้แก๊สโซฮอล์ E20 ช่วยลดการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกลดกว่าร้อยละ 30อานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-9205330524858105342011-08-31T10:50:00.000-07:002011-08-31T10:50:27.041-07:00การเกิดปิโตรเลียมปิโตรเลียมเกิดจากการทับถมและสลายตัวของอินทรียสารจากพืชและสัตว์ที่คลุกเคล้าอยู่กับตะกอนในชั้นกรวดทรายและโคลนตมใต้พื้นดิน เมื่อเวลาผ่านไปนับล้านปีตะกอนเหล่านี้จะจมตัวลงเรื่อย ๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของผิวโลก ถูกอัดแน่นด้วยความดันและความร้อนสูง และมีปริมาณออกซิเจนจำกัด จึงสลายตัวเปลี่ยนสภาพเป็นแก๊สธรรมชาติและน้ำมันดิบแทรกอยู่ระหว่างชั้นหินที่มีรูพรุน<br />
<br />
<br />
ปิโตรเลียมจากแหล่งต่างกันจะมีปริมาณของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน รวมทั้งสารประกอบของกำมะถัน ไนโตรเจน และออกซิเจนแตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับชนิดของซากพืชและสัตว์ที่เป็นต้นกำเนิดของปิโตรเลียม และอิทธิพลของแรงที่ทับถมอยู่บนตะกอน<br />
<br />
แหล่งกักเก็บปิโตรเลียม<br />
<br />
ปิโตรเลียมที่เกิดอยู่ในชั้นหิน จะมีการเคลื่อนตัวออกไปตามรอยแตกและรูพรุนของหินไปสูระดับความลึกน้อยกว่าแล้วสะสมตัวอยู่ในโครงสร้างหินที่มีรูพรุน มีโพรง หรือรอยแตกในเนื้อหินที่สามารถให้ปิโตรเลียมสะสมคัวอยู่ได้ ด้านบนเป็นหินตะกอนหรือหินดินดานเนื้อแน่นละเอียดปิดกั้นไม่ให้ปิโตรเลียมไหลลอดออกไปได้ โครงสร้างปิดกั้นดังกล่าวเรียกว่า แหล่งกักเก็บปิโตรเลียมอานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-17884502198887809262011-08-31T10:44:00.000-07:002011-08-31T10:44:06.612-07:00สารละลายสารละลาย (solution) หมายถึง สารเนื้อเดียวที่ไม่บริสุทธิ์ เกิดจากสารตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมารวมกัน สารละลายแบ่งส่วนประกอบได้ 2 ส่วนคือ<br />
1. ตัวทำละลาย (solvent) หมายถึง สารที่มีความสามารถ ในการทำให้สารต่างๆ ละลายได้ โดยไม่ทำปฏิกิริยาเคมีกับสารนั้น<br />
2. ตัวละลาย (solute) หมายถึง สารที่ถูกตัวทำละลายละลายให้กระจายออกไปทั่วในตัวทำละลายโดยไม่ทำปฏิกิริยาเคมีต่อกัน<br />
สารละลายมีทั้ง 3 สถานะ คือ สารละลายของแข็ง สารละลายของเหลว และสารละลายแก๊ส<br />
สารละลายของแข็ง หมายถึง สารละลายที่มีตัวทำละลายมีสถานะเป็นของแข็ง เช่น ทองเหลือง นาก โลหะบัดกรี สัมฤทธิ์ เป็นต้น<br />
สารละลายของเหลว หมายถึง สารละลายที่มีตัวทำละลายมีสถานะเป็นของเหลว เช่น น้ำเชื่อม น้ำหวาน น้ำเกลือ น้ำปลา น้ำส้มสายชู น้ำอัดลม เป็นต้น<br />
สารละลายแก๊ส หมายถึงสารละลายที่มีตัวทำละลายมีสถานะเป็นแก๊ส เช่น อากาศ แก๊สหุงต้ม ลูกเหม็นในอากาศ ไอน้ำในอากาศ เป็นต้น<br />
ตัวละลายแต่ละชนิดจะใช้ตัวทำละลายที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างตัวทำละลายและตัวถูกละลาย ซึ่งสารทั้ง 2 ชนิดนั้นจะต้องรวมเป็นเนื้อเดียวกันและไม่ทำปฏิกิริยาเคมีต่อกัน ตัวอย่างเช่น<br />
<br />
- เกลือ น้ำตาลทราย สีผสมอาหาร จุนสี สารส้ม กรดเกลือ กรดกำมะถัน ใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย<br />
- โฟม ยางพารา พลาสติก ใช้น้ำมันเบนซินเป็นตัวทำละลาย<br />
- สีน้ำมัน โฟม พลาสติก แลคเกอร์ ใช้ทินเนอร์เป็นตัวทำละลาย<br />
- สีน้ำมันใช้น้ำมันสนเป็นตัวทำละลาย<br />
อานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-11390282629831052282011-08-31T10:42:00.000-07:002011-08-31T10:42:25.371-07:00เซลล์ไฟฟ้าเคมี (Electrochemical cell)เซลล์ไฟฟ้าเคมี แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ<br />
<br />
1) เซลล์กัลวานิก (Galvanic cell) หรืออาจเรียกว่า เซลล์โวลตาอิก (Voltaic cell) เป็นเซลล์ไฟฟ้าเคมีที่สารทำปฏิกิริยากันแล้วทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า<br />
<br />
2) เซลล์อิเล็กโทรไลต์ (Electrolytic cell) เป็นเซลล์ไฟฟ้าเคมีที่ต้องผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมี<br />
<br />
<br />
ขั้วไฟฟ้า (Electrode)<br />
<br />
คือโลหะที่จุ่มอยู่ในสารละลายที่มีไอออนอยู่และสามารถนำไฟฟ้าได้ ขั้วไฟฟ้าแบ่งตามลักษณะปฏิกิริยาเป็น 2 ประเภท ดังนี้<br />
<br />
1) แอโนด (Anode) เป็นขั้วไฟฟ้าของครึ่งเซลล์ที่เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน<br />
<br />
2) แคโทด (Cathode) เป็นขั้วไฟฟ้าของครึ่งเซลล์ที่เกิดปฏิกิริยารีดักชัน<br />
สะพานไอออนหรือสะพานเกลือ (Salt bridge)<br />
<br />
คือส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างสารละลายอิเล็กโทรไลต์ของสองครึ่งเซลล์เข้าด้วยกันเพื่อให้ครบวงจร สะพานไอออนทำหน้าที่รักษาสมดุลของไอออนบวกและไอออนลบ การเตรียมสะพานไอออนเตรียมได้จากสารละลายเกลือ ได้แก่ KCl , KNO3 , K2SO4 , NH4Cl , NH4NO3 เป็นต้น ในแผนภาพเซลล์เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ || สารที่จะนำมาใช้ทำเป็นสะพานไอออนควรมีสมบัติดังนี้<br />
<br />
1. เป็นสารประกอบไอออนิกที่แตกตัวได้ 100%<br />
<br />
2. ไม่ทำปฏิกิริยากับไอออนที่อยู่ในครึ่งเซลล์<br />
<br />
3. ไอออนบวกและไอออนลบในสารประกอบไอออนิกนั้นจะต้องเคลื่อนที่ด้วยความเร็วใกล้เคียงกันเพื่อรักษาสมดุลของไอออนบวกและไอออนลบได้ดี<br />
<br />
<br />
ครึ่งเซลล์ (Half cell)<br />
<br />
หมายถึงระบบที่ประกอบด้วยโลหะจุ่มอยู่ในสารละลายที่มีไอออนของโลหะ เช่น โลหะสังกะสีจุ่มอยู่สารละลาย ZnSO4 เขียนสัญลักษณ์ได้เป็น Zn(s)|Zn2+(aq) และโลหะทองแดงจุ่มในสารละลาย CuSO4 เขียนสัญลักษณ์ได้เป็น Cu(s)|Cu2+(aq)อานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-85224801833256345362011-08-31T10:38:00.000-07:002011-08-31T10:38:11.298-07:00การกลั่น (distillation) การกลั่น (distillation)<br />
การกลั่นเป็นการแยกสารละสายที่เป็นของเหลวออกจากของผสม โดยอาศัยหลักการระเหยกลายเป็นไปและควบแน่น โดนที่สารบริสุทธิ์แต่ละชนิดเปลี่ยนสถานะได้ที่อุณหภูมิจำเพาะ สารที่มจุดเดือดต่ำจะเดือดเป็นไอออกมาก่อน เมื่อทำให้ไอของสารมีอุณหภูมิต่ำลงจะควบแน่นกลับมาเป็นของเหลวอีกครั้ง <br />
<br />
<br />
1. การกลั่นแบบธรรมดาหรือการกลั่นอย่างง่าย(simple distillation)<br />
2. การกลั่นลำดับส่วน(fractional distillation)<br />
3. การกลั่นน้ำมันดิบ (refining) <br />
4. การสกัดโดยการกลั่นด้วยไอน้ำ <br />
<br />
1. การกลั่นแบบธรรมดาหรือการกลั่นอย่างง่าย(simple distillation)<br />
<br />
เป็นวิธีการที่ใช้กลั่นแยกสารที่ระเหยง่ายซึ่งปนอยู่กับสารที่ระเหยยาก การกลั่นธรรมดานี้จะ ใช้แยกสารออกเป็นสารบริสุทธิ์เพียงครั้งเดียวได้สารที่มีจุดเดือดต่างกันตั้งแต่ 80 องศาเซลเซียส ขึ้นไป <br />
<br />
<br />
เครื่องมือที่ใช้สำหรับการกลั่นอย่างง่าย ประกอบด้วย ฟลาสกลั่น เทอร์โมมิเตอร์ เครื่องควบแน่น และภาชนะรองรับสารที่กลั่นได้ การกลั่นอย่างง่ายมีเทคนิคการทำเป็นขั้น ๆ ดังนี้<br />
1. เทของเหลวที่จะกลั่นลงในฟลาสกลั่น โดยใช้กรวยกรอง<br />
2. เติมชิ้นกันเดือดพลุ่ง เพื่อให้การเดือดเป็นไปอย่างสม่ำเสมอและไม่รุนแรง<br />
3. เสียบเทอร์โมมิเตอร์<br />
4. เปิดน้ำให้ผ่านเข้าไปในคอนเดนเซอร์เพื่อให้คอนเดนเซอร์เย็นโดยให้น้ำเข้าทางที่ต่ำแล้วไหลออกทางที่สูง<br />
5. ให้ความร้อนแก่พลาสกลั่นจนกระทั่งของเหลวเริ่มเดือด ให้ความร้อนไปเรื่อย ๆ จน กระทั่งอัตราการกลั่นคงที่ คือได้สารที่กลั่นประมาณ 2-3 หยด ต่อวินาที ให้สารที่กลั่นได้นี้ไหลลงในภาชนะรองรับ<br />
6. การกลั่นต้องดำเนินต่อไปจนกระทั่งเหลือสารอยู่ในฟลาสกลั่นเพียงเล็กน้อยอย่ากลั่นให้แห้ง<br />
<br />
การกลั่นสามารถนำมาใช้ทดสอบความบริสุทธิ์ของของเหลวได้ ซึ่งของเหลวที่บริสุทธิ์<br />
จะมีลักษณะดังนี้<br />
1. ส่วนประกอบของสารที่กลั่นได้ จะมีลักษณะเหมือนกับส่วนประกอบของของเหลว<br />
2. ส่วนประกอบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง<br />
3. อุณหภูมิของจุดเดือดในขณะกลั่นจะคงที่ตลอดเวลา<br />
4. การกลั่นจะทำให้เราทราบจุดเดือดของของเหลวบริสุทธิ์ได้<br />
<br />
การกลั่นนอกจากจะนำมาใช้ตรวจสอบความบริสุทธิ์ของของเหลวแล้ว ยังสามารถใช้กลั่น สารละลายได้อีกด้วย การกลั่นสารละลายเป็นกระบวนการแยกของแข็งที่ไม่ระเหยออกจากตัวทำละลายหรือของเหลวที่ระเหยง่าย โดยของแข็งที่ไม่ระเหยหรือตัวละลายจะอยู่ในฟลาสกลั่น ส่วนของเหลวที่ระเหยง่ายจะถูกกลั่นออกมา เมื่อการกลั่นดำเนินไปจนกระทั่งอุณหภูมิของการกลั่นคงที่แสดงว่าสารที่เหลือนั้นเป็นสารบริสุทธิ์ <br />
อนึ่งในขณะกลั่นจะสังเกตเห็นว่าอุณหภูมิของสารละลายจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะสารละลายเข้มข้นขึ้น เนื่องจากตัวทำละลายระเหยออกไปและได้ของแข็งที่บริสุทธิ์ในที่สุด<br />
<br />
2. การกลั่นลำดับส่วน(fractional distillation)<br />
การกลั่นลำดับส่วนเป็นวิธีการแยกของเหลวที่สามารถระเหยได้ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป มีหลักการเช่นเดียวกันกับการกลั่นแบบธรรมดา คือเพื่อต้องการแยกองค์ประกอบในสารละลายให้ออกจากกัน แต่ก็จะมีส่วนที่แตกต่างจากการกลั่นแบบธรรมดา คือ การกลั่นแบบกลั่นลำดับส่วนเหมาะสำหรับใช้กลั่นของเหลวที่เป็นองค์ประกอบของสารละลายที่จุดเดือดต่างกันน้อยๆ ในขั้นตอนของกระบวนการกลั่นลำดับส่วน จะเป็นการนำไอของแต่ละส่วนไปควบแน่น แล้วนำไปกลั่นซ้ำและควบแน่นไอเรื่อย ๆ ซึ่งเทียบได้กับเป็นการการกลั่นแบบธรรมดาหลาย ๆ ครั้งนั่นเอง ความแตกต่างของการกลั่นลำดับส่วนกับการกลั่นแบบธรรมดา จะอยู่ที่คอลัมน์ โดยคอลัมน์ของการกลั่นลำดับส่วนจะมีลักษณะเป็นชั้นซับซ้อน เป็นชั้นๆ ในขณะที่คอลัมน์แบบธรรมดาจะเป็นคอลัมน์ธรรมดา ไม่มีความซับซ้อนของคอลัมน์ <br />
ในการกลั่นแบบลำดับส่วน จะต้องมีการเพิ่มอุณหภูมิอย่างช้า ๆ ดังนั้น จำเป็นที่จะต้องมีอุปกรณ์ที่ให้ความร้อน (heater) และสามารถควบคุมอุณหภูมิได้ เพราะของผสมที่กลั่นแบบลำดับส่วนมักจะมีจุดเดือดที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งตรงกันข้ามกับการกลั่นแบบธรรมดา ความร้อนที่ให้ไม่จำเป็นต้องควบคุมเหมือนการกลั่นลำดับส่วน แต่ก็ไม่ควรให้ความร้อนที่สูงเกินไป เพราะความร้อนที่สูงเกินไป อาจจะไปทำลายสารที่เราต้องการกลั่นเพราะฉะนั้น ประสิทธิภาพในการกลั่นลำดับส่วนจึงดีกว่าการกลั่นแบบธรรมดา <br />
3.การกลั่นน้ำมันดิบ (refining)<br />
เนื่องจากน้ำมันดิบประกอบด้วยสารประกอบไฮโดรคาร์บอนหลายพันชนิด ดังนั้นจึงไม่สามารถแยกสารที่มีอยู่ออกเป็น สารเดี่ยวๆได้ อีกทั้งสารเหลวนี้มีจุดเดือดใกล้ เคียงกันมากวิธีการแยกองค์ ประกอบน้ำมันดิบจะทําได้โดยการกลั่นลําดับสวนและเก็บสารตามชวงอุณหภูมิ ซึ่งก่อนที่จะกลั่นจะต้องนําน้ำมันดิบมาแยกเอาน้ำและสารประกอบกํามะถันออกซิเจน ไนโตรเจนและโลหะหนักอื่นๆ ออกไปก่อนที่จะนําไปเผาที่อุณหภูมิ 320 - 385 C ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่น ได้แก่<br />
- ก๊าซ (C1 - C4) ซึ่งเป็ นของผสมระหว่างก๊าซมีเทน อีเทน โพรเพนและบิวเทน เป็นต้นประโยชน์ : มีเทนใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้า อีเทน โพรเพนและบิวเทน ใช่ในอุตสาหกรรม<br />
- ปิโตรเคมี และโพรเพนและบิวเทนใช่ ทําก๊าซหุงต้ม (LPG)<br />
- แนฟทาเบา (C5 - C7) ประโยชน์ : ใช้ทําตัวทําละลาย - แนฟทาหนัก (C6 - C12) หรือ เรียกว่าน้ำ<br />
- มันเบนซินประโยชน์ : ใช้ทําเชื้อเพลิงรถยนต์<br />
- น้ำมันก๊าด (C10 - C14) ประโยชน ์ : ใช้ทําเชื้อเพลิงสําหรับตะเกียงและเครื่องยนต์<br />
- น้ำมันดีเซล (C14 - C19) ประโยชน์ : ใช่ ทําเชื้อเพลิงเครื่องยนต์ดีเซล ได้แก่ รถบรรทุก , เรือ<br />
- น้ำมันหล่อลื่น (C19 - C35) ประโยชน์: ใช่ทําน้ำมันหล่ อลื่นเครื่องยนตเครื่องจักรกล<br />
- ไขน้ำมันเตาและยางมะตอย (C > C35)<br />
4. การสกัดโดยการกลั่นด้วยไอน้ำ<br />
เป็นวิธีการสกัดสารออกจากของผสมโดยใช้ไอน้ำเป็นตัวทำละลาย วิธีนี้ใช้สำหรับแยกสารที่ละเหยง่าย ไม่ละลายน้ำ และไม่ทำปฏิกิริยากับน้ำ ออกจากสารที่ระเหยยาก การสกัดโดยการกลั่นด้วยไอน้ำนอกจากใช้สกัดสารระเหยง่ายออกจากสารระเหยยากแล้วยังสามารถใช้แยกสารที่มีจุดเดือดสูงและสลายตัวที่จุดเดือดของมันได้อีก เพราะการกลั่นโดยวิธีนี้ความดันไอเป็นความดันไอของไอน้ำบวกความดันไอของของเหลวที่ต้องการแยก จึงทำให้ความดันไอเท่ากับความดันของบรรยากาศก่อนที่อุณหภูมิจะถึงจุดเดือดของของเหลวที่ต้องการแยก ของ ผสมจึงกลั่นออกมาที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเดือดของของเหลวที่ต้องการแยก เช่น สาร A มีจุดเดือด 150 C เมื่อสกัดโดยการกลั่นด้วยไอน้ำจะได้สาร A กลายเป็นไอออกมา ณ อุณหภูมิ 95 C ที่ความดัน 760 มิลลิเมตรของปรอท อธิบายได้ว่า ที่ 95 C ถ้าความดันไอของสาร A เท่ากับ 120 มิลลิเมตรของปรอท และไอน้ำเท่ากับ 640 มิลลิเมตรของปรอท เมื่อความดันไอของสาร A รวมกับไอน้ำจะเท่ากับ 760 มิลลิเมตรของปรอท หรือเท่ากับความดันบรรยากาศ จึงทำให้สาร A และน้ำกลายเป็นไอออกมาได้ที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเดือดของสาร Aตัวอย่างการแยกสารโดยการกลั่นด้วยไอน้ำได้แก่การแยกน้ำมันหอมระเหยออกจากส่วนต่างๆของพืชเช่นการแยกน้ำมันยูคาลิปตัสออกจากใบยูคาลิปตัสการแยกน้ำมันมะกรูดออกจากผิวมะกรูดการแยกน้ำมันอบเชยจากเปลือกต้นอบเชยเป็นต้นในการกลั่นไอน้ำจะไปทำให้น้ำมันหอมระเหยกลายเป็นไอแยกออกมาพร้อมกับไอน้ำเมื่อทำให้ไอของของผสมควบแน่นโดยผ่านเครื่องควบแน่นก็จะได้น้ำและน้ำมันหอมระเหยปนกันแต่แยกชั้นกันอยู่ทำให้สามารถแยกเอาน้ำมันหอมระเหยออกจากน้ำได้ง่าย อานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-52242667785219258492011-08-31T10:34:00.001-07:002011-08-31T10:34:50.903-07:00ไบโอดีเซลไบโอดีเซล (biodiesel) เป็นเชื้อเพลิงดีเซลที่ผลิตจากแหล่งทรัพยากรหมุนเวียน เช่น น้ำมันพืช ไขมันสัตว์ หรือสาหร่าย ไบโอดีเซลเป็นเชื้อเพลิงดีเซลทางเลือก นอกเหนือจากดีเซลที่ผลิตจากปิโตรเลียม โดยมีคุณสมบัติการเผาไหม้ เหมือนกับดีเซลจากปิโตรเลียมมาก และสามารถใช้แทนกัน <br />
คุณสมบัติสำคัญของไบโอดีเซลคือ สามารถย่อยสลายได้เอง ตามกระบวนการชีวภาพในธรรมชาติ (biodegradable) และไม่เป็นพิษ (non-toxic) ในปัจจุบัน ต้นทุนการผลิตไบโอดีเซล ยังมีราคาแพงกว่าดีเซลจากปิโตรเลียมเมื่อไม่นับรวมถึงอัตราภาษีสรรพสามิต ในประเทศเยอรมนี ในปีพ.ศ. 2548 มีกำลังการผลิต 2 ล้านตันต่อปี ราคาจำหน่ายตามสถานีประมาณ 45 บาทต่อลิตร ถูกกว่าน้ำมันดีเซลเพราะมีการยกเว้นภาษีสรรพสามิต กระบวนการผลิตไบโอดีเซลคือปฏิกิริยาเคมี Transesterification หรือ Esterification ประเทศไทยริเริ่มโครงการไบโอดีเซลเมื่อ ปีพ.ศ. 2543 และได้มีการติดตั้งระบบผลิตเอทธิลเอสเตอร์โดยโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา ตั้งแต่ 7 พ.ค.47 และได้มีการพัฒนาโครงการไบโอดีเซลชุมชนที่ จ.เชียงใหม่ ปัจจุบัน(มี.ค.49)มีไบโอดีเซล 5% จำหน่ายในสถานีของ ปตท. และบางจาก ในกทม. และเชียงใหม่ (ตามโครงการล้านนาฟ้าใสไบโอดีเซล) ทั้งหมด 15 สถานีอานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-10164366203871021422011-07-07T09:29:00.001-07:002011-07-07T09:29:51.708-07:00นิทานเรื่อง ถ่านหิน<iframe width="425" height="349" src="http://www.youtube.com/embed/SOsQDxrXV-I" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>อานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-42208484154575980402011-06-25T00:05:00.001-07:002011-06-25T00:11:04.612-07:00มาติวเคมีกัน<iframe width="425" height="349" src="http://www.youtube.com/embed/p-8S1VhVzKQ" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>อานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-87816750107056005772011-06-25T00:00:00.000-07:002011-06-25T00:03:49.223-07:00ผลิตภัทณ์พอลิเมอร์พลาสติก<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEie2FuS8N6QkO_Bz-lSL78pTADbTe4aekZ7qaKY6JpZ76r6AS1HGLtRWlrbXrDaDOj5amLeZEH8-1xD7qW61O-N3WkeCk3eKXxQPyVKGVgjerOSO-s4kU7yEzfVkLf5m_n9rUu3WJlwZO22/s1600/blowMolded1.jpg" imageanchor="1" style="clear:left; float:left;margin-right:1em; margin-bottom:1em"><img border="0" height="250" width="248" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEie2FuS8N6QkO_Bz-lSL78pTADbTe4aekZ7qaKY6JpZ76r6AS1HGLtRWlrbXrDaDOj5amLeZEH8-1xD7qW61O-N3WkeCk3eKXxQPyVKGVgjerOSO-s4kU7yEzfVkLf5m_n9rUu3WJlwZO22/s320/blowMolded1.jpg" /></a></div>พลาสติก (Plastic) คือสารที่สามารถทำให้เป็นรูปต่าง ๆ ได้ด้วยความร้อน พลาสติกเป็นพอลิเมอร์ ขนาดใหญ่ มวลโมเลกุลมาก<br />
สมบัติ เสถียร สลายตัวยาก มีมวลน้อย เบา เป็นฉนวนความร้อนและไฟฟ้าที่ดี ส่วนมากอ่อนตัวและหลอมเหลวเมื่อได้รับความร้อน จึงเปลี่ยนเป็นรูปต่าง ๆ ได้ตามประสงค์<br />
ประเภทพลาสติก<br />
ก. เทอร์มอพลาสติก ได้รับความร้อนจะอ่อนตัว และเมื่อเย็นลงจะแข็งตัว สามารถเปลี่ยนรูปได้ พลาสติกประเภทนี้โครงสร้างโมเลกุลเป็นโซ่ตรงยาว มีการเชื่อมต่อระหว่างโซ่พอลิเมอร์น้อย มาก จึงสามารถหลอมเหลว หรือเมื่อผ่านการอัดแรงมากจะไม่ทำลายโครงสร้างเดิม ตัวอย่าง พอลิเอทิลีน พอลิโพรพิลีน พอลิสไตรีน<br />
ข. พลาสติกเทอร์มอเซต คงรูปหลังการผ่านความร้อนหรือแรงดันเพียงครั้งเดียว เมื่อเย็นลงจะแข็งมาก ทนความร้อนและความดัน ไม่อ่อนตัวและเปลี่ยนรูปร่างไม่ได้ แต่ถ้าอุณหภูมิสูงก็จะแตกและไหม้เป็นขี้เถ้าสีดำ พลาสติกประเภทนี้โมเลกุลจะเชื่อมโยงกันเป็นร่างแหจับกันแน่น แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลแข็งแรงมาก จึงไม่สามารถนำมาหลอมเหลวได้ ตัวอย่าง เมลามีน พอลิยูรีเทน<br />
<br />
เส้นใย<br />
เส้นใย (Fibers) คือ พอลิเมอร์ชนิดหนึ่งที่มีโครงสร้างของโมเลกุลสามารถนำมาเป็นเส้นด้าย เส้นใย<br />
<br />
เส้นใยธรรมชาติ เส้นใยเซลลูโลส ลินิน ปอ เส้นใยสับปะรด<br />
เส้นใยโปรตีน ขนสัตว์ เช่น ขนแกะ ขนแพะ<br />
เส้นใยไหม เส้นใยจากรังไหม<br />
เส้นใยสังเคราะห์ เช่น เซลลูโลสแอซีเตด ไนลอน ดาครอน Orlon<br />
<br />
<br />
ยาง<br />
ยาง (Rubber) คือ สารที่มีสมบัติยืดหยุ่นได้ ทำให้เป็นรูปร่างต่าง ๆ ได้ เป็นสารประกอบพอลิเมอร์<br />
ประเภทยาง<br />
ก. ยางธรรมชาติ ได้จากต้นยางพารา น้ำยางที่ได้เป็นของเหลวสีขาว ชื่อพอลิไอโซปริน<br />
สมบัติ มีความยืดหยุ่น เพราะโครงสร้างโมเลกุลของยางมีลักษณะม้วนงอขดไปมาปิดเป็นเกลียว ได้ แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลเป็นแรงแวนเดอร์วาลส์ สมบัติเปลี่ยนง่ายคือเมื่อร้อนจะอ่อนตัวเหนียว แต่เย็นจะแข็งและเปราะ<br />
ข. ยางสังเคราะห์ เป็นพอลิเมอร์ที่สังเคราะห์ขึ้นจากสารผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เช่น<br />
<br />
<br />
<br />
กระบวนการวัลคาไนเซชัน (Vulcanization process) คือ กระบวนการที่ใช้ในการเพิ่มคุณภาพของยางธรรมชาติ (ยางดิบ) ให้มีความยืดหยุ่นได้ดีขึ้น มีความคงตัวสูง ไม่สึกกร่อนง่าย และไม่ละลายในตัวทำละลายอินทรีย์ สมบัติเหล่านี้จะยังคงอยู่ ถึงแม้ว่าอุณหภูมิจะเปลี่ยนแปลงก็ตามอานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6376850887949532206.post-53053721145376761172011-06-24T22:54:00.000-07:002011-06-24T23:03:51.773-07:00การไทเทรต กรด-เบสการไทเทรต กรด-เบส<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-XntBT5niSMIIZECZm3ghOQODUA3bgDcMllxOuipy0bqv5yZYQVysRiSCkNwRUmP5VbZ03fAWhQ_cefApLinnhkR4g2Cl0vDWPv-nqfut6Y6tbtpaUreeGmcq24_UDMt0CTbdgFfyVjf4/s1600/a.gif" imageanchor="1" style="clear:left; float:left;margin-right:1em; margin-bottom:1em"><img border="0" height="227" width="125" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-XntBT5niSMIIZECZm3ghOQODUA3bgDcMllxOuipy0bqv5yZYQVysRiSCkNwRUmP5VbZ03fAWhQ_cefApLinnhkR4g2Cl0vDWPv-nqfut6Y6tbtpaUreeGmcq24_UDMt0CTbdgFfyVjf4/s320/a.gif" /></a></div>เป็นกระบวนการวิเคราะห์หาปริมาณอย่างหนึ่งที่ทราบความเข้มข้นของสารละลายมาตรฐาน ถูกใช้ในการหาความเข้มข้นของสารละลายอีกชนิดหนึ่ง โดยให้สารเหล่านั้นทำปฏิกิริยาพอดีกัน เช่น การไทเทรต กรด-เบส การไทเทรตรีดอกซ์<br />
การไทเทรต กรด-เบส (Acid-Base Titration)<br />
เป็นกระบวนการวิเคราะห์หาปริมาณของกรดหรือเบส โดยให้สารละลายกรดหรือเ บสทำปฏิกิริยาพอดีกับสารละลายมาตรฐาน เบสหรือกรดซึ่งทราบความเข้มข้นที่แน่นอน และใช้อินดิเคเตอร์เป็นสารที่บอกจุดยุติ ด้วยการสังเ กตจากสีที่เปลี่ยน ขณะไทเทรต pH จะเปลี่ยนไป ถ้าเลือกใช้อินดิเคเตอร์เหมาะสม จะบอกจุดยุติใกล้เคียงกับจุดสมมูล<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjNWkaznk1ObcMn7kCUtOx-OmEilQ6D-FwboXjJVWZOuXqYsJ8gZIVPbTh_5kpMsBwJQXbHbxAjEydowpasZtGyXq5KIQ3FaSthsbXewh2_SZ9AZ-WVsRXAurBBYfEkpQ5oeIR67ziAHxQ7/s1600/c.gif" imageanchor="1" style="clear:left; float:left;margin-right:1em; margin-bottom:1em"><img border="0" height="227" width="126" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjNWkaznk1ObcMn7kCUtOx-OmEilQ6D-FwboXjJVWZOuXqYsJ8gZIVPbTh_5kpMsBwJQXbHbxAjEydowpasZtGyXq5KIQ3FaSthsbXewh2_SZ9AZ-WVsRXAurBBYfEkpQ5oeIR67ziAHxQ7/s320/c.gif" /></a></div><br />
<br />
จุดสมมูล (จุดสะเทิน = Equivalence point)<br />
คือจุดที่กรดและเบสทำปฏิกิริยาพอดีกัน จุดสมมูลจะมี pH เป็นอย่างไร< wbr>นั้นขึ้นอยู่กับชนิดของกรดและเบสที่นำมาไทเทรตกัน และขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของกรดและเบส<br />
จุดยุติ (End point)<br />
คือจุดที่อินดิเคเตอร์เปลี่ยนสี ขณะไทเทรตกรด-เบสอยู่ จุดยุติจะใกล้เคียงกับจุดสมมูลได้นั้น จะ ต้องเลือกอินดิเคเตอร์เหมาะสม ในทางปฏิบัติถือว่าจุดยุติ เป็นจุดเดียวกับจุดสมมูล เช่น<br />
การหาความเข้มข้นของกรดไฮโดรคลอริก โดยการไทเทรตชัน<br />
a) ตวงปริมาตรของสารละลายกรดด้วยปิเปดต์ใส่ขวดชมพู่<br />
b) ไทเทรตสารละลายมาตรฐานจากบิวเรตต์ลงในขวดชมพู่ที่มีสารละลายกรดไฮโดรคลอริกอยู่ด้วย<br />
c) การไทเทรตกรด-เบสจนถึงจุดยุติโดยสังเกตจากอินดิเคเตอร์เปลี่ยนสี<br />
d) อ่านปริมาตรของสารละลายเบส (สารละลายมาตรฐาน)ที่ใช้ในการทำปฏิกิริยาพอดีกับสารละลายกรดนี้ บันทึกข้อมูลอานนท์http://www.blogger.com/profile/10488412484254511757noreply@blogger.com0